กฎข้อที่หนึ่ง : เสื้อผ้าเครื่องนุ่งผ่มที่ดีที่สุด
“โอ้
ลูกหลานของอาดัม
เรานั้นได้นำลงมายังพวกเจ้าซึ่งบรรดาเครื่องนุ่งห่มเพื่อปกคลุมบรรดาส่วนที่เป็นส่วนตัวของพวกเจ้าและเพื่อเป็นเครื่องประดับ
แต่เครื่องนุ่งห่มแห่งความเคารพยำเกรงนั้นดีที่สุด
เหล่านี้คือสัญญาณบางสัญญาณของพระเจ้า เพื่อพวกเขานั้นจะได้รำลึก” 7:26
ความยำเกรงพระเจ้าและการรับรู้ว่าพระเจ้านั้นกำลังจองมองเราอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นกฎพื้นฐานสำหรับการแต่งการของสตรีมุสลิม
ผู้หญิงทุกคนนั้นทราบดีว่าอะไรคือความพอเหมาะพอดีและอะไรคือความไม่เหมาะสม
ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ใครไปบอกเพราะผู้หญิงทุกคนนั้นรู้ดีว่าการที่จะยืนหยัดอยู่บนความดีงามนั้นทำได้อย่างไร
พระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างผู้หญิงขึ้นมา
ดังนั้นพระองค์ทรงทราบดีว่าผู้หญิงนั้นสามารถที่จะแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้
นี่คือเหตุผลว่าทำไมพระเจ้าถึงได้ทำให้การยำเกรงพระเจ้านั้นเป็นกฎข้อแรก
กฎข้อที่สอง : ปกปิดหน้าอกของพวกนาง
กฎข้อที่สองนี้อยู่ในอายะฮที่ 24:31 พระเจ้าทรงได้สั่งให้บรรดาผู้หญิงนั้นปกปิดหน้าอกของพวกนาง
ก่อนที่จะยกอายะฮที่ 24:31 ขึ้นมา
ขอกล่าวถึงคำสำคัญบางคำที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆเวลาที่เรานั้นพูดถึงเรื่องการแต่งกายของสตรีมุสลิม
นั่นก็คือคำว่า ‘ฮิจาบ’ และคำว่า ‘คิมาร์’
คำว่า ‘ฮิจาบ’ในอัลกุรอาน
ฮิจาบนั้นเป็นคำศัพท์ที่ใช้โดยผู้หญิงมุสลิมหลายคนเพื่อที่จะหมายถึงผ้าคลุมศีรษะซึ่งอาจจะหมายรวมถึงผ้าคลุมหน้าด้วยก็ได้
คำว่า ‘ฮิจาบ’ ในภาษาอาหรับนั้นแปลว่า
ผ้าคลุมหน้าของผู้หญิง และยังมีความหมายอื่นๆอีกอย่างเช่น ฉาก สิ่งปกคลุม เสื้อคลุม
ผ้าคลุม ผ้าม่าน ฝากั้นห้อง ผนังกั้น สิ่งที่ใช้แบ่งเขต
คำว่า’ ฮิจาบ’ นั้นมีอยู่ในอัลกุรอานหรือไม่?
คำว่า ‘ฮิจาบ’ ถูกกล่าวในอัลกุรอานทั้งหมด 7 ครั้งด้วยกัน มี 5 ครั้งที่ใช้คำว่า ‘ฮิจาบ’ และอีก 2 ครั้งใช้คำว่า ‘ฮิจาบัน’ ทั้งหมดนี้อยู่ในอายะฮต่างๆดังต่อไปนี้ : 7:46,
33:53, 38:32, 41:5, 42:51, 17:45 และ 19:17.
ไม่มีครั้งไหนเลยในอัลกุรอานที่พระเจ้าได้ใช้คำว่า
‘ฮิจาบ’ ตามความหมายที่บรรดามุสลิมทุกวันนี้ได้ใช้กันเพื่อหมายถึงผ้าคลุมศีรษะสำหรับสตรีมุสลิม!
พระเจ้าทรงทราบดีว่าประชาชาติหลังจากที่นบีมูฮัมมัดได้เสียชีวิตไปแล้วจะใช้คำว่า
‘ฮิจาบ’ เพื่อแต่งกฎของการแต่งกายของบรรดาสตรีมุสลิมขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้านั้นทรงไม่ได้อนุมัติแต่อย่างใด
พระองค์จึงทรงได้ใช้คำว่า ‘ฮิจาบ’ ก่อนหน้าพวกเขา เช่นเดียวกันกับที่พระองค์ทรงได้ใช้คำว่า ‘ฮะดีษ’ ก่อนหน้าพวกเขาแล้ว (45:6)
คำว่า
ฮิจาบ ในอัลกุรอาน
นั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการแต่งกายของบรรดาสตรีมุสลิมแม้แต่น้อย!!
ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์
ในขณะที่บรรดามุสลิมนั้นได้ใช้คำว่า
‘ฮิจาบ’ เพื่อเป็นการแต่งกายตามแบบฉบับอิสลาม
พวกเขานั้นได้ลืมไปว่าความจริงแล้ว ‘ฮิจาบ’ นั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอิสลามหรือกุรอานเลย
จริงจริงแล้ว
ฮิจาบ
นั้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของบรรดาชาวยิวที่ได้ถูกแทรกซึมไปอยู่ในบรรดาบันทึกฮะดีสต่างๆเช่นเดียวกันกับสิ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นใหม่อีกหลายๆเรื่องที่ได้ปนเปื้อนอยู่ในอิสลาม
บรรดานักศึกษาเกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติของชาวยิวนั้นทราบดีว่าบรรดารับบัยและผู้นำทางศาสนานั้นเป็นผู้ส่งเสริมการคลุมศีรษะ
บรรดาสตรีชาวยิวที่เคร่งครัดนั้นก็ยังคลุมศีรษะกันอยู่
โดยเฉพาะเวลาที่ไปวัด ไปงานแต่งงาน และไปงานเกี่ยวกับศาสนาต่างๆ
ธรรมเนียมปฏิบัตินี้ไม่ใช่กฎของศาสนาแต่เป็นวัฒนธรรมของชาวยิว โดยได้ถูกปฏิบัติโดยบรรดาสตรีที่มีอารยธรรมชาวยิวและได้ถูกสืบต่อลงมาจนเป็นวัฒนธรรมยิว
สตรีชาวคริสต์บางคนก็ยังคลุมศีรษะเวลาไปงานศาสนาต่างๆส่วนแม่ชีนั้นคลุมศีรษะตลอดเวลา
ธรรมเนียมปฏิบัติของการคลุมศีรษะนั้นได้ถูกปฏิบัติกันมาเป็นพันพันปีก่อนหน้าที่บรรดานักวิชาการมุสลิมนั้นจะกล่าวอ้างว่า
'ฮิจาบ' นั้นเป็นกฎการแต่งกายของสตรีมุสลิม
บรรดาชาวอาหรับไม่ว่าจะนับถือศาสนายิว
คริสต์ หรือ อิสลามนั้นได้สวมใส่ ‘ฮิจาบ’ ซึ่งไม่ใช่เพราะอิสลามแต่เป็นเพราะธรรมเนียมปฏิบัติของพวกเขา
อย่างเช่นในประเทศซาอุดิอารเบีย
ผู้ชายทุกคนนั้นคลุมศีรษะของพวกเขาเนื่องจากมันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่ใช่ศาสนา
ในทวีปอัฟริกาตอนเหนือนั้นมีเผ่าที่ชื่อว่า
ทูแล ซึ่งมีบรรดาผู้ชายมุสลิมที่ใส่ ‘ฮิจาบ’ แทนที่จะเป็นบรรดาผู้หญิง
ซึ่งธรรมเนียมปฏิบัติของพวกเขานั้นสวนทางกับที่อื่นๆ ถ้าหากการใส่ ‘ฮิจาบ’ นั้นเป็นสัญลักษณ์ของความเคร่งครัดในศาสนา
แม่ชีเทเรซ่า ก็คงเป็นคนแรกที่จะถูกนับว่าเคร่งครัด
‘ฮิจาบ’ นั้นเป็นวัฒนธรรมในการแต่งกายและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอิสลามหรือศาสนาเลย
ในโลกนี้ มีบางที่ที่มีบรรดาผู้ชายที่ใส่ ‘ฮิจาบ’ และบางที่ที่ผู้หญิงใส่ ‘ฮิจาบ’ ดังนั้นการเอาศาสนาไปผสมปนเปกับวัฒนธรรมก็เป็นรูปแบบของการทำชิริกอย่างหนึ่ง
เพราะมันเสมือนว่าเราได้ตั้งกฎของศาสนาขึ้นมาเองนอกเหนือจากกฎของพระเจ้า
คำว่า ‘คิมาร์’ ในอัลกุรอาน
คำว่า ‘คิมาร์’ นั้นได้ถูกใช้อยู่ในอายะฮที่ 24:31 ในขณะที่กฎของการแต่งกายข้อแรกนั้นอยู่ในอายะฮที่ 7:26
กฎข้อที่สองนั้นอยู่ในอายะฮที่ 24:31 มีมุสลิมบางคนได้ยกอายะฮนี้ขึ้นมาเหมือนกับว่าอายะฮนี้มีคำว่า
‘ฮิจาบ’ อยู่ในนั้นด้วย หรือใช้คำว่า
ผ้าคลุมผม โดยการชี้ไปยังคำว่า ‘โคมูริฮินนา’ (คิมาร์ของพวกนาง) โดยลืมไปว่าพระเจ้านั้นทรงได้ใช้คำว่า ‘ฮิจาบ’ หลายครั้งแล้วในอัลกุรอาน
บรรดาผู้ที่ไม่มีอคติก็สามารถยอมรับอย่างง่ายดายว่าคำสั่งในอายะฮที่ 24:31 นั้นไม่ได้สั่งให้ผู้หญิงคลุมศีรษะ
คำว่า ‘คิมาร์ ’นั้น ไม่ได้แปลว่า ฮิจาบ หรือ
ผ้าคลุมผมแต่อย่างใด บรรดาผู้ที่ยกอายะฮนี้มักจะบวกเพิ่มคำว่า (ผ้าคลุมศีรษะ) และ (ผ้าคลุมหน้า) เข้าไปหลังคำว่า ‘โคมูริฮินนา’ และมักจะใส่ไว้ในวงเล็บ
สิ่งที่เพิ่มเติมเข้าไปนั้นเป็นคำพูดของพวกเขาเองไม่ใช่คำพูดของพระเจ้าและพวกเขานั้นจงใจที่จะเพิ่มมันเข้าไปเพื่อให้มีความหมายที่บิดเบือนไม่ตรงกับคำพูดของพระเจ้า
ถ้อยคำในอายะฮที่ 24:31 คือ
“และจงบอกบรรดาผู้ศรัทธาหญิงให้ลดสายตายของพวกนางให้ต่ำลงและรักษาส่วนที่เป็นส่วนตัวของพวกนางและอย่าได้เปิดเผยบรรดาส่วนสัดที่สวยงามของพวกนางยกเว้นว่ามันเป็นสิ่งที่เปิดเผยตามปกติ พวกนางจงปกปิดล่องหน้าอกของพวกนางด้วย
‘คิมาร์’ ของพวกนาง พวกนางจงอย่าได้เปิดเผยบรรดาส่วนสวยงามของพวกนางยกเว้นต่อหน้าสามีของพวกนาง
บิดาของพวกนาง บิดาของสามีของพวกนาง ลูกชายของพวงนาง ลูกชายของสามีของพวกนาง
พี่น้องผู้ชายของพวกนาง ลูกชายของพี่น้องผู้ชายของพวกนาง
ลูกชายของพี่น้องผู้หญิงของพวกนาง บรรดาผู้หญิงคนอื่นๆ ทาสของพวกนาง
บรรดาคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ
และเด็กๆที่ยังไม่รู้เรื่องความโป๊เปลือยของผู้หญิง พวกนางนั้นอย่าได้กระทืบเท้าของพวกนางเพื่อให้เห็นถึงรายละเอียดของสิ่งสวยงามของพวกนางที่ได้ถูกปกปิดไว้
พวกเจ้าจงสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวต่อพระเจ้าเถิดบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย
เพื่อพวกเจ้านั้นจะได้ประสบความสำเร็จ” 24:31
ในภาษาอาหรับคำว่า
คิมาร์ นั้นแปลว่าสิ่งปกคลุม สิ่งใดๆก็ตามที่ใช้ปกคลุมสามารถเรียกว่า
คิมาร์ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ผ้าม่าน ชุดกระโปรง ผ้าปูโต๊ะที่ใช้เพื่อคลุมโต๊ะ
หรือ ผ้าผ่มก็สามารถเรียกว่าคิมาร์ได้เหมือนกัน คำว่า คามร์
ที่ใช้ในอัลกุรอานเพื่อหมายถึงสิ่งมึนเมาก็มีรากศัพท์มาจากคำว่าคิมาร์
ทั้งสองคำนั้นหมายถึงสิ่งปกคลุม คิมาร์นั้นเอาไว้ปกคลุมหน้าต่าง ร่ายกาย โต๊ะ
และอื่นๆอีกมากมาย ส่วนคามร์นั้นปกคลุมสติสัมปชัญญะ คนแปลกุรอาน
ส่วนมากนั้นได้รับอิทธิพลจากฮะดีสและวัฒนธรรมจึงได้อ้างว่าคำว่าคิมาร์ในอายะฮที่ 24:31นั้นมีความหมายเดียวที่แปลว่าผ้าคลุมศีรษะ
หรือ ฮิจาบ พวกเขานั้นทำให้บรรดาสตรีมุสลิมนั้นเข้าใจผิดว่าอะยะฮที่ 24:31 นั้นสั่งให้ผู้หญิงคลุมศีรษะ
ความหมายที่ถูกต้องของคำว่าคิมาร์นั้นสามารถหาได้อย่างง่ายๆจากพจนานุกรมภาษาอาหรับ
อายะฮที่ 24:31 นั้นพระเจ้าบอกให้ผู้หญิงใช้คิมาร์ (สิ่งปกคลุม หรือ เครื่องนุ่งหม่) ซึ่งอาจจะเป็น ชุดกระโปรง เสื้อคลุม
ผ้าคลุม เสื้อเชิ๊ต เสื้อสตรี ผ้าผันคอ และอื่นๆอีกมากมาย
เพื่อปกคลุมหน้าอกของพวกนาง
กฎข้อที่สาม : อย่าเปิดเผยบรรดาส่วนสัดที่สวยงามของพวกนาง
กฎข้อที่สามนั้นอยู่ในอายะฮที่ 24:31พระเจ้าทรงได้สั่งไม่ให้ผู้หญิงเปิดเผยส่วนสัดที่สวยงามของพวกนางยกเว้นสิ่งเปิดเผยเป็นปกติ
“...อย่าได้เปิดเผยบรรดาส่วนสัดที่สวยงามของพวกนางยกเว้นมันเป็นสิ่งที่เปิดเผยตามปกติ..”
คำสั่งนี้มองผิวเผินแล้วอาจจะดูเหมือนคลุมเครือสำหรับคนหลายๆคนก็เนื่องจากว่าพวกเขานั้นไม่สามารถเข้าใจถึงความเมตตาของพระเจ้าได้
พระเจ้านั้นทรงได้ใช้คำพูดนี้ก็เพื่อว่าบรรดาสตรีนั้นจะได้มีอิสระในการตัดสินใจว่าอะไรบนตัวของพวกนางบ้างที่สมควรจะเปิดเผยได้
บรรดาผู้หญิงที่ดีนั้นสามารถที่จะตัดสินใจได้ถูกว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะสมและดีงาม
และเหมาะกับเวลา สถานที่ และโอกาส
คำว่า ‘ซินาตะฮูนนา’ (ส่วนสัดที่สวยงาม) ในอายะฮนี้หมายถึงสัดส่วนที่สวยงามของผู้หญิงที่แสดงออกทางเพศ
ตัวอย่างเช่นสะโพก หน้าอก) ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนในตอนสุดท้ายของอายะฮ
พระเจ้าทรงบอกผู้หญิงไม่ได้กระทืบเท้าของพวกนางเพื่อให้เห็นถึง ‘ซินาตะฮูนนา’เพราะการกระทืบเท้าเวลาเดินนั้นสามารถทำให้เห็นถึงรายละเอียดของส่วนสัดเหล่านี้ได้
กฎข้อที่สี่ ทำให้เครื่องนุ่งห่มนั้นยาวขึ้น
“โอ้นบี
จงบอกบรรดาภรรยาของเจ้า บรรดาลูกสาวของเจ้า
และบรรดาภรรยาของผู้ศรัทธาทั้งหลายเถิดว่า
ให้พวกนางทำให้บรรดาเครื่องนุ่งห่มของพวกนางนั้นยาวขึ้น
นี่คือสิ่งที่ดีกว่าที่พวกนางนั้นจะเป็นที่รู้จักและไม่ถูกลวนลาม
พระเจ้านั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตา” 33:59
เมื่อเราพิจารณาคำพูดข้างต้นแล้ว
เราก็จะเข้าใจถึงความชาญฉลาดของพระเจ้า
ในอายะฮนี้พระเจ้าทรงจงใจที่จะบอกให้บรรดาผู้หญิงนั้นทำให้เครื่องนุ่งห่มของพวกนางให้ยาวขึ้นแต่พระองค์ทรงไม่ได้เจาะจงว่าให้ยาวแค่ไหน
ความจริงพระองค์ทรงสามารถที่จะสั่งเราได้ว่าให้ยาวลงมาแค่ตาตุ่ม หรือครึ่งแข้ง
หรือแค่หัวเข่า แต่พระองค์ทรงไม่ได้ทำเช่นนั้น
พระเจ้าทรงทราบดีว่าพวกเราทุกคนนั้นจะอยู่กันในสังคมที่แตกต่างกันมีวัฒนธรรมที่ต่างกัน
พระองค์จึงทรงได้ปล่อยให้ผู้คนในแต่ละสังคมนั้นตัดสินใจเอาเองในเรื่องเกร็ดย่อยเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ตราบใดที่ความดีงามและความเหมาะสมนั้นยังคงอยู่
การผ่อนผันในกฎของการแต่งกาย
ในระหว่างบุคคลในครอบครัว
พระเจ้านั้นทรงได้ผ่อนผันกฎของการแต่งกายไว้ให้แล้ว ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในอายะฮที่24:31 และมากไปกว่านั้นพระองค์ทรงได้ผ่อนผันกฎของการแต่งกายแก่บรรดาผู้หญิงสูงอายุที่ไม่ประสงค์ที่จะแต่งงานแล้วเอาไว้อีกด้วย
“ไม่มีความผิดอันใดแก่บรรดาผู้หญิงสูงอายุที่ไม่คาดหวังที่จะแต่งงานในการที่จะผ่อนคลายกฎของการแต่งกายของพวกนาง
ในขณะที่พวกนางนั้นจะต้องไม่อวดบรรดาส่วนสัดที่สวยงามของพวกนาง
แต่การระงับจากการกระทำดังกล่าวก็จะเป็นการดีกว่าสำหรับพวกนาง
พระเจ้านั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้” 24:60
การตอบกลับสำหรับบรรดาผู้ที่ได้อ้างว่าบรรดาผู้หญิงมุสลิมนั้นต้องคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้ายกเว้นใบหน้าเท่านั้น
มีบรรดานักวิชาการมุสลิมจำนวนมากที่ได้คิดค้นกฎที่สุดขั้วเพื่อเป็นแบบฉบับของการแต่งกายแก่บรรดาผู้หญิงมุสลิม
ซึ่งไม่ถูกพบในคัมภีร์อัลกุรอานแต่อย่างใด
โดยบ้างก็กล่าวว่าผู้หญิงนั้นจะต้องคลุมตั้งหัวจรดเท้ายกเว้นใบหน้าเท่านั้น
ในขณะที่บางพวกที่สุดขั้วกว่านั้นก็ได้กล่าวว่าผู้หญิงนั้นจะต้องคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้ายกเว้นรูของตาทั้งสองเท่านั้นเพื่อเอาไว้ให้มองเห็น!!
1. ไม่มีในอัลกุรอานตรงไหนเลยที่สั่งให้ผู้หญิงนั้นคลุมตั้งหัวจรดเท้า
บรรดาผู้ที่สั่งสอนการกระทำดังกล่าวนั้นไม่สามารถหากฎใดในอัลกุรอานเพื่อให้สอดคล้องกับกฎที่สุดขั้วของพวกเขาได้
ดังนั้นพวกเขาจึงได้เปลี่ยนแปลงคำพูดในอายะฮที่ 24:31 และ 33:59 เพื่อให้สอดคล้องกับการสอนที่ผิดๆของพวกเขา
2. ในอายะฮที่ 24:31 ที่พระเจ้าทรงได้เจาะจงให้ผู้หญิงนั้นปกปิดหน้าอกทำให้เรารู้ว่ามีส่วนอื่นในร่างกายของผู้หญิงที่ไม่จำเป็นต้องปกปิด
และเพื่อที่จะวิเคราะห์ข้อบ่งชี้ในอายะฮที่ 24:31 ขอให้เราลองพิจารณาตัวอย่างดังต่อไปนี้
ลองคิดถึงบ้านของเราที่มีสวนอยู่ในบ้าน
แล้วเราได้ให้คนสวนมาคอยดูแลสวนนั้น
วันหนึ่งเราได้บอกคนสวนให้ช่วยรดน้ำใต้ต้นไม้ใหญ่และส่วนข้างหลังของสวน
ตัวอย่างนี้บอกอะไรแก่เราได้บ้าง
มันบอกแก่เราได้ว่าเมื่อเรานั้นได้เจาะจงให้คนสวนนั้นรดน้ำเฉพาะบางที่นั้นก็แปลว่ามีบางที่ในสวนที่ไม่ต้องรดน้ำ
เพราะถ้าหาก
ว่าเรานั้นต้องการให้คนสวนรดน้ำทั้งสวนเราก็คงบอกคนสวนว่าให้รดน้ำทั่วทั้งสวน
ถ้าหากเราเปรียบเทียบตัวอย่างนี้กับเรื่องกฎของการแต่งกายของผู้หญิง
มันก็คือหลักการเดียวกัน
ถ้าหากพระเจ้านั้นต้องการให้ผู้หญิงปกปิดทั้งตัวพระองค์ก็คงไม่ต้องเสียเวลาบอกว่า “จงปกปิดล่องหน้าอกของพวกนาง” ในเมื่อคำสั่งที่ให้ปกปิดทั้งร่างกายก็คลอบคลุมทุกอย่างอยู่แล้ว
แต่พระเจ้านั้นเจาะจงเพียงบางส่วนของร่างกายผู้หญิงที่ต้องปกปิด
ดังนั้นส่วนอื่นๆก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดตราบใดที่มันไม่ใช่บรรดาส่วนสัดที่สวยงามที่แสดงออกทางเพศ
และความดีงามและความเหมาะสมในการแต่งกายนั้นยังคงอยู่
3. คำสั่งที่ว่า
“ทำให้เครื่องนุ่มหม่นั้นยาวขึ้น” ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผู้หญิงนั้นไม่ได้ถูกสั่งให้ปกปิดตั้งแต่หัวจรดเท้า
เพราะถ้าผู้หญิงนั้นถูกสั่งให้ปกปิดตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่แล้ว คำสั่งที่ว่า “ทำให้เครื่องนุ่งหม่นั้นยาวขึ้น” ก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย
เพราะเราจะทำให้เครื่องนุ่มห่มของเรานั้นยาวขึ้นอีกได้อย่างไรถ้าหากเครื่องนุ่งห่มของเรานั้นยาวถึงพื้นอยู่แล้ว