วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

กฏของการแต่งกายของมุสลิม

กฎข้อที่หนึ่ง : เสื้อผ้าเครื่องนุ่งผ่มที่ดีที่สุด
โอ้ ลูกหลานของอาดัม เรานั้นได้นำลงมายังพวกเจ้าซึ่งบรรดาเครื่องนุ่งห่มเพื่อปกคลุมบรรดาส่วนที่เป็นส่วนตัวของพวกเจ้าและเพื่อเป็นเครื่องประดับ แต่เครื่องนุ่งห่มแห่งความเคารพยำเกรงนั้นดีที่สุด เหล่านี้คือสัญญาณบางสัญญาณของพระเจ้า เพื่อพวกเขานั้นจะได้รำลึก” 7:26
ความยำเกรงพระเจ้าและการรับรู้ว่าพระเจ้านั้นกำลังจองมองเราอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นกฎพื้นฐานสำหรับการแต่งการของสตรีมุสลิม ผู้หญิงทุกคนนั้นทราบดีว่าอะไรคือความพอเหมาะพอดีและอะไรคือความไม่เหมาะสม ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ใครไปบอกเพราะผู้หญิงทุกคนนั้นรู้ดีว่าการที่จะยืนหยัดอยู่บนความดีงามนั้นทำได้อย่างไร พระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างผู้หญิงขึ้นมา ดังนั้นพระองค์ทรงทราบดีว่าผู้หญิงนั้นสามารถที่จะแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมพระเจ้าถึงได้ทำให้การยำเกรงพระเจ้านั้นเป็นกฎข้อแรก
กฎข้อที่สอง : ปกปิดหน้าอกของพวกนาง
กฎข้อที่สองนี้อยู่ในอายะฮที่ 24:31 พระเจ้าทรงได้สั่งให้บรรดาผู้หญิงนั้นปกปิดหน้าอกของพวกนาง ก่อนที่จะยกอายะฮที่ 24:31 ขึ้นมา ขอกล่าวถึงคำสำคัญบางคำที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆเวลาที่เรานั้นพูดถึงเรื่องการแต่งกายของสตรีมุสลิม นั่นก็คือคำว่า ฮิจาบและคำว่า คิมาร์
คำว่า ฮิจาบในอัลกุรอาน
ฮิจาบนั้นเป็นคำศัพท์ที่ใช้โดยผู้หญิงมุสลิมหลายคนเพื่อที่จะหมายถึงผ้าคลุมศีรษะซึ่งอาจจะหมายรวมถึงผ้าคลุมหน้าด้วยก็ได้ คำว่า ฮิจาบในภาษาอาหรับนั้นแปลว่า ผ้าคลุมหน้าของผู้หญิง และยังมีความหมายอื่นๆอีกอย่างเช่น ฉาก สิ่งปกคลุม เสื้อคลุม ผ้าคลุม ผ้าม่าน ฝากั้นห้อง ผนังกั้น สิ่งที่ใช้แบ่งเขต
คำว่าฮิจาบนั้นมีอยู่ในอัลกุรอานหรือไม่?
คำว่า ฮิจาบถูกกล่าวในอัลกุรอานทั้งหมด 7 ครั้งด้วยกัน มี 5 ครั้งที่ใช้คำว่า ฮิจาบและอีก 2 ครั้งใช้คำว่า ฮิจาบันทั้งหมดนี้อยู่ในอายะฮต่างๆดังต่อไปนี้ : 7:46, 33:53, 38:32, 41:5, 42:51, 17:45 และ 19:17.
ไม่มีครั้งไหนเลยในอัลกุรอานที่พระเจ้าได้ใช้คำว่า ฮิจาบตามความหมายที่บรรดามุสลิมทุกวันนี้ได้ใช้กันเพื่อหมายถึงผ้าคลุมศีรษะสำหรับสตรีมุสลิม!
พระเจ้าทรงทราบดีว่าประชาชาติหลังจากที่นบีมูฮัมมัดได้เสียชีวิตไปแล้วจะใช้คำว่า ฮิจาบเพื่อแต่งกฎของการแต่งกายของบรรดาสตรีมุสลิมขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้านั้นทรงไม่ได้อนุมัติแต่อย่างใด พระองค์จึงทรงได้ใช้คำว่า ฮิจาบก่อนหน้าพวกเขา เช่นเดียวกันกับที่พระองค์ทรงได้ใช้คำว่า ฮะดีษก่อนหน้าพวกเขาแล้ว (45:6)
คำว่า ฮิจาบ ในอัลกุรอาน นั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการแต่งกายของบรรดาสตรีมุสลิมแม้แต่น้อย!!
ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์
ในขณะที่บรรดามุสลิมนั้นได้ใช้คำว่า ฮิจาบเพื่อเป็นการแต่งกายตามแบบฉบับอิสลาม พวกเขานั้นได้ลืมไปว่าความจริงแล้ว ฮิจาบนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอิสลามหรือกุรอานเลย
จริงจริงแล้ว ฮิจาบ นั้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของบรรดาชาวยิวที่ได้ถูกแทรกซึมไปอยู่ในบรรดาบันทึกฮะดีสต่างๆเช่นเดียวกันกับสิ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นใหม่อีกหลายๆเรื่องที่ได้ปนเปื้อนอยู่ในอิสลาม บรรดานักศึกษาเกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติของชาวยิวนั้นทราบดีว่าบรรดารับบัยและผู้นำทางศาสนานั้นเป็นผู้ส่งเสริมการคลุมศีรษะ
บรรดาสตรีชาวยิวที่เคร่งครัดนั้นก็ยังคลุมศีรษะกันอยู่ โดยเฉพาะเวลาที่ไปวัด ไปงานแต่งงาน และไปงานเกี่ยวกับศาสนาต่างๆ ธรรมเนียมปฏิบัตินี้ไม่ใช่กฎของศาสนาแต่เป็นวัฒนธรรมของชาวยิว โดยได้ถูกปฏิบัติโดยบรรดาสตรีที่มีอารยธรรมชาวยิวและได้ถูกสืบต่อลงมาจนเป็นวัฒนธรรมยิว

สตรีชาวคริสต์บางคนก็ยังคลุมศีรษะเวลาไปงานศาสนาต่างๆส่วนแม่ชีนั้นคลุมศีรษะตลอดเวลา ธรรมเนียมปฏิบัติของการคลุมศีรษะนั้นได้ถูกปฏิบัติกันมาเป็นพันพันปีก่อนหน้าที่บรรดานักวิชาการมุสลิมนั้นจะกล่าวอ้างว่า 'ฮิจาบ' นั้นเป็นกฎการแต่งกายของสตรีมุสลิม

บรรดาชาวอาหรับไม่ว่าจะนับถือศาสนายิว คริสต์ หรือ อิสลามนั้นได้สวมใส่ ฮิจาบซึ่งไม่ใช่เพราะอิสลามแต่เป็นเพราะธรรมเนียมปฏิบัติของพวกเขา อย่างเช่นในประเทศซาอุดิอารเบีย ผู้ชายทุกคนนั้นคลุมศีรษะของพวกเขาเนื่องจากมันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่ใช่ศาสนา 

ในทวีปอัฟริกาตอนเหนือนั้นมีเผ่าที่ชื่อว่า ทูแล ซึ่งมีบรรดาผู้ชายมุสลิมที่ใส่ ฮิจาบแทนที่จะเป็นบรรดาผู้หญิง ซึ่งธรรมเนียมปฏิบัติของพวกเขานั้นสวนทางกับที่อื่นๆ ถ้าหากการใส่ ฮิจาบนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความเคร่งครัดในศาสนา แม่ชีเทเรซ่า ก็คงเป็นคนแรกที่จะถูกนับว่าเคร่งครัด

ฮิจาบนั้นเป็นวัฒนธรรมในการแต่งกายและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอิสลามหรือศาสนาเลย ในโลกนี้ มีบางที่ที่มีบรรดาผู้ชายที่ใส่ ฮิจาบและบางที่ที่ผู้หญิงใส่ ฮิจาบดังนั้นการเอาศาสนาไปผสมปนเปกับวัฒนธรรมก็เป็นรูปแบบของการทำชิริกอย่างหนึ่ง เพราะมันเสมือนว่าเราได้ตั้งกฎของศาสนาขึ้นมาเองนอกเหนือจากกฎของพระเจ้า

คำว่า ‘คิมาร์ในอัลกุรอาน
คำว่า คิมาร์นั้นได้ถูกใช้อยู่ในอายะฮที่ 24:31 ในขณะที่กฎของการแต่งกายข้อแรกนั้นอยู่ในอายะฮที่ 7:26
กฎข้อที่สองนั้นอยู่ในอายะฮที่ 24:31 มีมุสลิมบางคนได้ยกอายะฮนี้ขึ้นมาเหมือนกับว่าอายะฮนี้มีคำว่า ฮิจาบอยู่ในนั้นด้วย หรือใช้คำว่า ผ้าคลุมผม โดยการชี้ไปยังคำว่า โคมูริฮินนา’ (คิมาร์ของพวกนางโดยลืมไปว่าพระเจ้านั้นทรงได้ใช้คำว่า ฮิจาบหลายครั้งแล้วในอัลกุรอาน บรรดาผู้ที่ไม่มีอคติก็สามารถยอมรับอย่างง่ายดายว่าคำสั่งในอายะฮที่ 24:31 นั้นไม่ได้สั่งให้ผู้หญิงคลุมศีรษะ คำว่า คิมาร์ นั้น ไม่ได้แปลว่า ฮิจาบ หรือ ผ้าคลุมผมแต่อย่างใด บรรดาผู้ที่ยกอายะฮนี้มักจะบวกเพิ่มคำว่า (ผ้าคลุมศีรษะและ (ผ้าคลุมหน้าเข้าไปหลังคำว่า โคมูริฮินนาและมักจะใส่ไว้ในวงเล็บ สิ่งที่เพิ่มเติมเข้าไปนั้นเป็นคำพูดของพวกเขาเองไม่ใช่คำพูดของพระเจ้าและพวกเขานั้นจงใจที่จะเพิ่มมันเข้าไปเพื่อให้มีความหมายที่บิดเบือนไม่ตรงกับคำพูดของพระเจ้า

ถ้อยคำในอายะฮที่ 24:31 คือ
และจงบอกบรรดาผู้ศรัทธาหญิงให้ลดสายตายของพวกนางให้ต่ำลงและรักษาส่วนที่เป็นส่วนตัวของพวกนางและอย่าได้เปิดเผยบรรดาส่วนสัดที่สวยงามของพวกนางยกเว้นว่ามันเป็นสิ่งที่เปิดเผยตามปกติ พวกนางจงปกปิดล่องหน้าอกของพวกนางด้วย คิมาร์ของพวกนาง พวกนางจงอย่าได้เปิดเผยบรรดาส่วนสวยงามของพวกนางยกเว้นต่อหน้าสามีของพวกนาง บิดาของพวกนาง บิดาของสามีของพวกนาง ลูกชายของพวงนาง ลูกชายของสามีของพวกนาง พี่น้องผู้ชายของพวกนาง ลูกชายของพี่น้องผู้ชายของพวกนาง ลูกชายของพี่น้องผู้หญิงของพวกนาง บรรดาผู้หญิงคนอื่นๆ ทาสของพวกนาง บรรดาคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ และเด็กๆที่ยังไม่รู้เรื่องความโป๊เปลือยของผู้หญิง พวกนางนั้นอย่าได้กระทืบเท้าของพวกนางเพื่อให้เห็นถึงรายละเอียดของสิ่งสวยงามของพวกนางที่ได้ถูกปกปิดไว้ พวกเจ้าจงสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวต่อพระเจ้าเถิดบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เพื่อพวกเจ้านั้นจะได้ประสบความสำเร็จ” 24:31
ในภาษาอาหรับคำว่า คิมาร์ นั้นแปลว่าสิ่งปกคลุม สิ่งใดๆก็ตามที่ใช้ปกคลุมสามารถเรียกว่า คิมาร์ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ผ้าม่าน ชุดกระโปรง ผ้าปูโต๊ะที่ใช้เพื่อคลุมโต๊ะ หรือ ผ้าผ่มก็สามารถเรียกว่าคิมาร์ได้เหมือนกัน คำว่า คามร์ ที่ใช้ในอัลกุรอานเพื่อหมายถึงสิ่งมึนเมาก็มีรากศัพท์มาจากคำว่าคิมาร์ ทั้งสองคำนั้นหมายถึงสิ่งปกคลุม คิมาร์นั้นเอาไว้ปกคลุมหน้าต่าง ร่ายกาย โต๊ะ และอื่นๆอีกมากมาย ส่วนคามร์นั้นปกคลุมสติสัมปชัญญะ คนแปลกุรอาน ส่วนมากนั้นได้รับอิทธิพลจากฮะดีสและวัฒนธรรมจึงได้อ้างว่าคำว่าคิมาร์ในอายะฮที่ 24:31นั้นมีความหมายเดียวที่แปลว่าผ้าคลุมศีรษะ หรือ ฮิจาบ พวกเขานั้นทำให้บรรดาสตรีมุสลิมนั้นเข้าใจผิดว่าอะยะฮที่ 24:31 นั้นสั่งให้ผู้หญิงคลุมศีรษะ ความหมายที่ถูกต้องของคำว่าคิมาร์นั้นสามารถหาได้อย่างง่ายๆจากพจนานุกรมภาษาอาหรับ
อายะฮที่ 24:31 นั้นพระเจ้าบอกให้ผู้หญิงใช้คิมาร์ (สิ่งปกคลุม หรือ เครื่องนุ่งหม่ซึ่งอาจจะเป็น ชุดกระโปรง เสื้อคลุม ผ้าคลุม เสื้อเชิ๊ต เสื้อสตรี ผ้าผันคอ และอื่นๆอีกมากมาย เพื่อปกคลุมหน้าอกของพวกนาง

กฎข้อที่สาม : อย่าเปิดเผยบรรดาส่วนสัดที่สวยงามของพวกนาง
กฎข้อที่สามนั้นอยู่ในอายะฮที่ 24:31พระเจ้าทรงได้สั่งไม่ให้ผู้หญิงเปิดเผยส่วนสัดที่สวยงามของพวกนางยกเว้นสิ่งเปิดเผยเป็นปกติ

“...อย่าได้เปิดเผยบรรดาส่วนสัดที่สวยงามของพวกนางยกเว้นมันเป็นสิ่งที่เปิดเผยตามปกติ..”

คำสั่งนี้มองผิวเผินแล้วอาจจะดูเหมือนคลุมเครือสำหรับคนหลายๆคนก็เนื่องจากว่าพวกเขานั้นไม่สามารถเข้าใจถึงความเมตตาของพระเจ้าได้ พระเจ้านั้นทรงได้ใช้คำพูดนี้ก็เพื่อว่าบรรดาสตรีนั้นจะได้มีอิสระในการตัดสินใจว่าอะไรบนตัวของพวกนางบ้างที่สมควรจะเปิดเผยได้ บรรดาผู้หญิงที่ดีนั้นสามารถที่จะตัดสินใจได้ถูกว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะสมและดีงาม และเหมาะกับเวลา สถานที่ และโอกาส
คำว่า ซินาตะฮูนนา’ (ส่วนสัดที่สวยงามในอายะฮนี้หมายถึงสัดส่วนที่สวยงามของผู้หญิงที่แสดงออกทางเพศ ตัวอย่างเช่นสะโพก หน้าอก) ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนในตอนสุดท้ายของอายะฮ พระเจ้าทรงบอกผู้หญิงไม่ได้กระทืบเท้าของพวกนางเพื่อให้เห็นถึง ซินาตะฮูนนาเพราะการกระทืบเท้าเวลาเดินนั้นสามารถทำให้เห็นถึงรายละเอียดของส่วนสัดเหล่านี้ได้

กฎข้อที่สี่ ทำให้เครื่องนุ่งห่มนั้นยาวขึ้น
โอ้นบี จงบอกบรรดาภรรยาของเจ้า บรรดาลูกสาวของเจ้า และบรรดาภรรยาของผู้ศรัทธาทั้งหลายเถิดว่า ให้พวกนางทำให้บรรดาเครื่องนุ่งห่มของพวกนางนั้นยาวขึ้น นี่คือสิ่งที่ดีกว่าที่พวกนางนั้นจะเป็นที่รู้จักและไม่ถูกลวนลาม พระเจ้านั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตา” 33:59
เมื่อเราพิจารณาคำพูดข้างต้นแล้ว เราก็จะเข้าใจถึงความชาญฉลาดของพระเจ้า ในอายะฮนี้พระเจ้าทรงจงใจที่จะบอกให้บรรดาผู้หญิงนั้นทำให้เครื่องนุ่งห่มของพวกนางให้ยาวขึ้นแต่พระองค์ทรงไม่ได้เจาะจงว่าให้ยาวแค่ไหน ความจริงพระองค์ทรงสามารถที่จะสั่งเราได้ว่าให้ยาวลงมาแค่ตาตุ่ม หรือครึ่งแข้ง หรือแค่หัวเข่า แต่พระองค์ทรงไม่ได้ทำเช่นนั้น พระเจ้าทรงทราบดีว่าพวกเราทุกคนนั้นจะอยู่กันในสังคมที่แตกต่างกันมีวัฒนธรรมที่ต่างกัน พระองค์จึงทรงได้ปล่อยให้ผู้คนในแต่ละสังคมนั้นตัดสินใจเอาเองในเรื่องเกร็ดย่อยเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ตราบใดที่ความดีงามและความเหมาะสมนั้นยังคงอยู่

การผ่อนผันในกฎของการแต่งกาย
ในระหว่างบุคคลในครอบครัว พระเจ้านั้นทรงได้ผ่อนผันกฎของการแต่งกายไว้ให้แล้ว ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในอายะฮที่24:31 และมากไปกว่านั้นพระองค์ทรงได้ผ่อนผันกฎของการแต่งกายแก่บรรดาผู้หญิงสูงอายุที่ไม่ประสงค์ที่จะแต่งงานแล้วเอาไว้อีกด้วย
ไม่มีความผิดอันใดแก่บรรดาผู้หญิงสูงอายุที่ไม่คาดหวังที่จะแต่งงานในการที่จะผ่อนคลายกฎของการแต่งกายของพวกนาง ในขณะที่พวกนางนั้นจะต้องไม่อวดบรรดาส่วนสัดที่สวยงามของพวกนาง แต่การระงับจากการกระทำดังกล่าวก็จะเป็นการดีกว่าสำหรับพวกนาง พระเจ้านั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้” 24:60

การตอบกลับสำหรับบรรดาผู้ที่ได้อ้างว่าบรรดาผู้หญิงมุสลิมนั้นต้องคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้ายกเว้นใบหน้าเท่านั้น
มีบรรดานักวิชาการมุสลิมจำนวนมากที่ได้คิดค้นกฎที่สุดขั้วเพื่อเป็นแบบฉบับของการแต่งกายแก่บรรดาผู้หญิงมุสลิม ซึ่งไม่ถูกพบในคัมภีร์อัลกุรอานแต่อย่างใด
โดยบ้างก็กล่าวว่าผู้หญิงนั้นจะต้องคลุมตั้งหัวจรดเท้ายกเว้นใบหน้าเท่านั้น ในขณะที่บางพวกที่สุดขั้วกว่านั้นก็ได้กล่าวว่าผู้หญิงนั้นจะต้องคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้ายกเว้นรูของตาทั้งสองเท่านั้นเพื่อเอาไว้ให้มองเห็น!!

1. ไม่มีในอัลกุรอานตรงไหนเลยที่สั่งให้ผู้หญิงนั้นคลุมตั้งหัวจรดเท้า บรรดาผู้ที่สั่งสอนการกระทำดังกล่าวนั้นไม่สามารถหากฎใดในอัลกุรอานเพื่อให้สอดคล้องกับกฎที่สุดขั้วของพวกเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้เปลี่ยนแปลงคำพูดในอายะฮที่ 24:31 และ 33:59 เพื่อให้สอดคล้องกับการสอนที่ผิดๆของพวกเขา

2. ในอายะฮที่ 24:31 ที่พระเจ้าทรงได้เจาะจงให้ผู้หญิงนั้นปกปิดหน้าอกทำให้เรารู้ว่ามีส่วนอื่นในร่างกายของผู้หญิงที่ไม่จำเป็นต้องปกปิด และเพื่อที่จะวิเคราะห์ข้อบ่งชี้ในอายะฮที่ 24:31 ขอให้เราลองพิจารณาตัวอย่างดังต่อไปนี้
ลองคิดถึงบ้านของเราที่มีสวนอยู่ในบ้าน แล้วเราได้ให้คนสวนมาคอยดูแลสวนนั้น วันหนึ่งเราได้บอกคนสวนให้ช่วยรดน้ำใต้ต้นไม้ใหญ่และส่วนข้างหลังของสวน

ตัวอย่างนี้บอกอะไรแก่เราได้บ้าง
มันบอกแก่เราได้ว่าเมื่อเรานั้นได้เจาะจงให้คนสวนนั้นรดน้ำเฉพาะบางที่นั้นก็แปลว่ามีบางที่ในสวนที่ไม่ต้องรดน้ำ เพราะถ้าหาก ว่าเรานั้นต้องการให้คนสวนรดน้ำทั้งสวนเราก็คงบอกคนสวนว่าให้รดน้ำทั่วทั้งสวน

ถ้าหากเราเปรียบเทียบตัวอย่างนี้กับเรื่องกฎของการแต่งกายของผู้หญิง มันก็คือหลักการเดียวกัน ถ้าหากพระเจ้านั้นต้องการให้ผู้หญิงปกปิดทั้งตัวพระองค์ก็คงไม่ต้องเสียเวลาบอกว่า จงปกปิดล่องหน้าอกของพวกนางในเมื่อคำสั่งที่ให้ปกปิดทั้งร่างกายก็คลอบคลุมทุกอย่างอยู่แล้ว แต่พระเจ้านั้นเจาะจงเพียงบางส่วนของร่างกายผู้หญิงที่ต้องปกปิด ดังนั้นส่วนอื่นๆก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดตราบใดที่มันไม่ใช่บรรดาส่วนสัดที่สวยงามที่แสดงออกทางเพศ และความดีงามและความเหมาะสมในการแต่งกายนั้นยังคงอยู่

3. คำสั่งที่ว่า ทำให้เครื่องนุ่มหม่นั้นยาวขึ้นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผู้หญิงนั้นไม่ได้ถูกสั่งให้ปกปิดตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะถ้าผู้หญิงนั้นถูกสั่งให้ปกปิดตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่แล้ว คำสั่งที่ว่า ทำให้เครื่องนุ่งหม่นั้นยาวขึ้นก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะเราจะทำให้เครื่องนุ่มห่มของเรานั้นยาวขึ้นอีกได้อย่างไรถ้าหากเครื่องนุ่งห่มของเรานั้นยาวถึงพื้นอยู่แล้ว


แหล่งที่มา: www.quran-islam.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น